โรค Vogt-Koyanaki-Harada Disease หรือโวกต์–โคยานางิ–ฮาราดะ
ในช่วงนี้แอดมินได้เห็นข่าวนักร้องนักแสดงมีอาการ โรค Vogt-Koyanaki-Harada Disease หรือโวกต์–โคยานางิ–ฮาราดะ ด้วยความเป็นห่วงจากทาง MyNurz Thailand
_____________________________________________________________________________________
โรค Vogt-Koyanagi-Harada Disease (VKH) เป็นโรคที่ค่อนข้างหายาก แต่ก่อให้เกิดอาการกับร่างกายหลายระบบ จึงส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วยไม่น้อย การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที
โรค VKH คืออะไร
โรค Vogt-Koyanagi-Harada Disease หรือโวกต์–โคยานางิ–ฮาราดะ เป็นโรคอักเสบเรื้อรังที่หายาก มักพบในคนเอเชีย คนฮิสแปนิก และคนพื้นเมืองอเมริกัน มากกว่าชาวยุโรป โดยทั่วไปจะเริ่มมีอาการเมื่ออายุประมาณ 30-40 ปี แต่ก็เคยมีรายงานพบผู้ป่วยเด็กอายุ 4 ขวบเช่นกัน สำหรับชื่อของโรคนี้ตั้งตามชื่อของแพทย์ 3 คน ที่เป็นผู้อธิบายอาการโดยรวมของโรค VKN คือ อัลเฟรด โวกต์, โยชิโซ โคยานางิ และเอโนสุเกะ ฮาราดะ
โรค VKH สาเหตุเกิดจากอะไร
สาเหตุของโรค VKH ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเข้าใจผิดและโจมตีเซลล์ที่มีเม็ดสีเมลานินของตัวเอง ทำให้เกิดการอักเสบในส่วนต่าง ๆ คือ ดวงตา ผิวหนัง เส้นผม หูชั้นใน และระบบประสาทส่วนกลาง นอกจากนี้ยังอาจถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้เช่นกัน
โรค VKH อาการเป็นอย่างไร
อาการของโรค VKH เกิดขึ้นกับหลายระบบ จึงแสดงอาการที่หลากหลาย ดังนี้
อาการทางตา
ตาแดง เจ็บตา ปวดตารุนแรง ตาพร่ามัว มองเห็นภาพเป็นวงกลม มีจุดดำลอยในสายตา เห็นภาพซ้อน มีฝ้าบังตา กลัวแสง จอประสาทตาอักเสบ ซึ่งอาการเหล่านี้ดูเผิน ๆ จะคล้ายกับต้อกระจกและต้อหิน
อาการทางผิวหนัง
ผู้ป่วยจะมีผิวหนังขาว (Vitiligo) มีจุดขาวกระจายทั่วศีรษะ เปลือกตา ลำตัว เนื่องจากสูญเสียเซลล์สร้างเม็ดสี ตามมาด้วยขนตาขาว ผมร่วง ผิวหนังอักเสบ สีของผมและขนเปลี่ยนไป ทำให้บางครั้งแพทย์อาจวินิจฉัยว่าเป็นโรคด่างขาว
อาการทางหู
มีอาการหูอื้อ เวียนหัว ได้ยินเสียงดังในหู สูญเสียการได้ยิน
อาการอื่นๆ
ปวดหัว เวียนหัว เป็นไข้ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ หากเป็นมาก ๆ อาจมีอาการคอแข็ง อ่อนแรง และชักได้ในที่สุด
จะรู้ได้อย่างไรว่าป่วย VKH
เนื่องจากอาการของโรค VKH มีความคล้ายคลึงกับบางโรค แพทย์จึงต้องตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด โดยพิจารณาจากประวัติการเจ็บป่วย อาการทางคลินิก และผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น
การตรวจตา : ตรวจดูการอักเสบภายในลูกตา ตรวจวิเคราะห์ขั้วประสาทตา OCT
การตรวจผิวหนัง : ตรวจดูรอยโรคบนผิวหนัง
การตรวจหู : ตรวจการได้ยิน
การตรวจน้ำไขสันหลัง : ตรวจหาความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง
การตรวจเลือด : ตรวจหาความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน
โรค VKH รักษาอย่างไร
การรักษาโรค VKN จะมุ่งเน้นไปที่การลดการอักเสบและป้องกันภาวะแทรกซ้อน โดยทั่วไปจะใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ในขนาดสูงร่วมกับยากดภูมิคุ้มกันชนิดอื่น ๆ รวมทั้งการรักษาตามอาการที่เป็น
ในกรณีที่อาการรุนแรงอาจต้องได้รับการรักษาด้วยวิธีอื่น เช่น การฉายแสง หรือการผ่าตัดต้อกระจก ผ่าตัดเพื่อลดความดันลูกตา หรือการรักษารูจอประสาทตา เป็นต้น
โรค VKH อันตรายไหม หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ เช่น
ต้อกระจกและต้อหิน : โรค VKH ส่งผลกระทบต่อดวงตาโดยตรง จึงอาจทำให้มีอาการต้อกระจกหรือต้อหิน
สูญเสียการมองเห็น : นับเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยและรุนแรงที่สุด เพราะการอักเสบของเส้นประสาทตาและดวงตา ทำให้ความดันในลูกตาเพิ่มขึ้นจนเส้นประสาทตาเสียหายได้ อีกทั้งการที่ดวงตาอักเสบบ่อย ๆ เป็นเวลานาน ทำให้เกิดการทำลายเซลล์ประสาทในจอประสาทตา และนำไปสู่ความบกพร่องทางสายตาอย่างถาวร
เยื่อหุ้มสมองอักเสบ : การอักเสบของเยื่อหุ้มสมองอาจทำให้เกิดอาการปวดหัว คอแข็ง คลื่นไส้ อาเจียน และอาการทางระบบประสาทอื่น ๆ
การเปลี่ยนแปลงของเม็ดสีผิว : อาการผิวขาว (Vitiligo) และการเปลี่ยนสีของผมและขน อาจส่งผลกระทบต่อรูปลักษณ์และจิตใจของผู้ป่วย
กระทบการใช้ชีวิตประจำวัน : การมองเห็นไม่ชัด เจ็บตา เวียนหัว ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ จึงอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต
อย่างไรก็ตาม การตรวจพบได้เร็วและเริ่มการรักษาโรค VKH ในระยะเริ่มแรก จะช่วยลดความรุนแรงของโรคและป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้
วิธีดูแลผู้ป่วยโรค VKH
ผู้ป่วยโรค VKH ควรได้รับการติดตามอาการอย่างใกล้ชิด และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ดังนี้
รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยควบคุมการอักเสบและป้องกันภาวะแทรกซ้อน ไม่ควรหยุดยาเองหรือปรับเปลี่ยนขนาดยาโดยพลการ เพราะอาจทำให้โรคกำเริบได้
ควรไปพบแพทย์ตามนัด เพื่อตรวจติดตามอาการและปรับเปลี่ยนยาตามความเหมาะสม
หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด สวมแว่นกันแดดและทาครีมกันแดดเสมอเมื่อออกนอกบ้าน
งดทำกิจกรรมที่ทำให้ตาบาดเจ็บ เช่น การขยี้ตาแรง ๆ หรือการเล่นกีฬาที่ทำให้เกิดการกระทบต่อดวงตา
หยุดพักสายตาเป็นระยะหากต้องทำงานที่ต้องใช้สายตามาก
พักผ่อนให้เพียงพอ
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
หลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดอาการกำเริบ
โรค VKH เป็นโรคที่ซับซ้อนและส่งผลกระทบต่อหลายระบบของร่างกาย แต่รักษาได้ถ้าตรวจพบเร็ว ดังนั้น หากมีอาการที่สงสัยว่าเป็นโรคนี้ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม
ขอบคุณข้อมูลจาก : rarediseases.org, ncbi.nlm.nih.gov